
ซึ่งรูรั่วที่พูดถึงนี้เป็นบริเวณที่ปราศจากชั้นโอโซนหรือมีชั้นโอโซนอยู่เบาบางมาก ผลกระทบที่อาจเกิดตามมาต่อสมดุลของสภาพแวดล้อมบนผิวโลกบริเวณใกล้เคียง โดยเฉพาะต่อสุขภาพของมนุษย์ ทั้งนี้เนื่องจากชั้นของโอโซนดังกล่าว นับเป็นตัวดูดกลืนรังสี UV พลังงานสูงที่มาจากดวงอาทิตย์ได้ดี ดังนั้นการที่มันลดจำนวนลงดังกล่าว จึงนับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อรังสี UV มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้เขตขั้วโลกใต้ (ในเขตทวีปออสเตรเลีย) ซึ่งอาจมีผลทำให้อัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งที่ผิวหนัง
การลดลงของชั้นโอโซนถือได้ว่าเป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์เราโดยตรง เพราะสารเคมีสำคัญในการทำลายก๊าซโอโซนที่ค้นพบ คือสารประกอบในกลุ่มคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbons: CFCs) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สำหรับเป็นตัวทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศ หรือ ตู้เย็น หรือ ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่เป็นสเปรย์รูปแบบต่าง ๆ เช่น สเปรย์พ่นสี หรือ สเปรย์ฉีดผม เป็นต้น ในที่นี้ เมื่อโมเลกุลของสาร CFC ถูกปลดปล่อยออกมาสู่อากาศ มันจะสามารถลอยสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงบรรยากาศชั้นสเตรโตสเฟียร์ ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของก๊าซโอโซนจำนวนมาก ในระดับความสูงนี้ โมเลกุลของสาร CFC จะถูกทำให้แตกตัวด้วยรังสีจากดวงอาทิตย์ ได้อะตอมของก๊าซคลอรีน (Chlorine: Cl) ออกมาเป็นส่วนหนึ่งผลิตภัณฑ์ ซึ่งอะตอมของคลอรีนที่เกิดมาจากปฏิกิริยานี้เอง ที่จะไปรวมตัวกับโมเลกุลของก๊าซโอโซน (O3) ทำให้ได้เป็นสารประกอบคลอรีนมอนอกไซด์(ClO) และก๊าซออกซิเจน (O2) ออกมา เป็นผลทำให้จำนวนโมเลกุลของก๊าซโอโซนในอากาศลดลงไป อีกทั้งอะตอม ของ คลอรีนสามารถถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีก จากการทำปฏิกิริยาของก๊าซคลอรีนมอนอกไซด์กับอะตอมของออกซิเจน(O) ในชั้นนี้ ได้เป็นอะตอมของคลอรีนและโมเลกุลของออกซิเจน (O2)
ตามสมการเคมี
ขั้นที่ 1 : Cl + O3 → ClO + O2
ขั้นที่ 2 : ClO+ O → Cl + O2
ซึ่งอะตอมของคลอรีนอิสระที่เกิดขึ้นในขั้นที่ 2 ดังกล่าว สามารถกลับเข้าสู่กระบวนการทำลายโมเลกุลของโอโซนตามปฏิกิริยาในขั้นที่ 1 ได้อีก กลายเป็นวัฏจักรที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เชื่อกันว่า โดยเฉลี่ยคลอรีนหนึ่งอะตอมสามารถที่จะทำลายโมเลกุลของโอโซนได้มากกว่าหนึ่งแสนโมเลกุล ก่อนที่ตัวมันเองจะถูกกำจัดออกไปจากวัฏจักรดังกล่าว
นอกจากนั้นการที่สาร CFC สามารถมีชีวิตอยู่ในอากาศได้ยาวนานมากกว่า 50 ถึง 100 ปี เป็นการบ่งบอกให้เห็นถึงอันตรายของสารดังกล่าวต่อการลดลงของชั้นโอโซนในระยะ ยาว และยังช่วยตอกย้ำถึงความจำเป็นในการที่เราต้องพยายามลดการใช้สารนี้ลงในทาง อุตสาหกรรม เพื่อรักษาชั้นโอโซนของโลกไว้ไม่ให้ถูกทำลายไปมากยิ่งขึ้น