Tuesday, September 14, 2010

เอ แล้วโอโซนหายไปไหน

เล่าเรื่องมาก็หลายวันแล้ว ลืมไปว่า อาจมีหลายๆคนสงสัยว่า แล้วเจ้าโอโซนหายไปไหนกันหรอ เราถึงต้องออกมาช่วยกันรณรงค์เพื่อให้ทุกๆคนช่วยกันอนุรักษ์ชั้นบรรยากาศโอโซนของเราเอาไว้ 

จริงๆแล้ว (ก็มันจริงๆนี่นา) โอโซน ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังโลกในท้องฟ้าเบื้องบน ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของพวกเราเองโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้เมื่อเราใช้สารเคมีนานาชนิดที่มีส่วนประกอบของคลอรีนและโบรมีน เช่นสารซีเอฟซี (CFCs) สารเฮลอน สารเมทิลโบรไมด์ (Methyl Bromide) สารเมทิลคลอโรฟอร์ม (Methyl Chloroform) ซึ่งเราเรียกสารเหล่านี้ว่า สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน เป็นต้น

เมื่อมีการใช้หรือเกิดการรั่วไหล สารเหล่านี้จะลอยตัวขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์ เมื่อไปกระทบกับแสงอาทิตย์แล้วจะสลายตัว เกิดเป็นอะตอมคลอรีนและ/หรือโบรมีนอิสระ ซึ่งอะตอมของคลอรีน/โบรมีนจะเข้าทำลายโมเลกุลของโอโซน จนกลายเป็นรูรั่วโอโซน อย่างที่เราๆทราาบกันดี ซึ่งไม่สามารถกรองรังสีชนิดต่างๆได้โดยเฉพาะรังสียูวีบีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกได้อีกต่อไป

Monday, September 13, 2010

แล้วเราจะช่วยกันรับผิดชอบโอโซนของโลกเราได้อย่างไร (4)

ความเดิมตอนที่แล้วจำได้เราเคยรักกัน เอ้ย ไม่ใช่ๆ จากวันก่อนๆที่ผมได้พูดถึงเรื่องวิธีการต่างๆในการช่วยกันรับผิดชอบโอโซนของโลกเรา วันนี้ก็มีอีกเรื่องที่ถือว่าใกล้ๆตัว (บางคน) มากๆ เรื่องที่ว่านั้นก็คือ 

วิธีที่ห้า เกี่ยวกับยาสูดพ่นแบบปลอดสารซีเอฟซี (CFCs)

สำหรับในทางการแพทย์แล้ว สารซีเอฟซี (CFCs) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในยาสูดพ่น ชนิดที่ใช้ก๊าซเป็นตัวขับเคลื่อน ทั้งยาประเภทขยายหลอดลม และยาสเตียรอยด์ มีชื่อเรียกกันว่า MDI (Metered-dose Inhaler) ซึ่งสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแล้ว ยาในรูปแบบนี้มีใช้กันมาอย่างยาวนาน มีประสิทธิภาพดี และที่สำคัญคือ ราคาถูก ถึงแม้ว่าจะมียาสูดพ่นในรูปแบบอื่นๆ บ้างก็ตาม เช่น ในรูปแบบแผงแห้ง แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเท่ากับยาในรูปแบบ MDI 
 
อย่างไรก็ตามเนื่องจากภยันตรายจากสารซีเอฟซี (CFCs) มีมาก และรุนแรง ทำให้ทั่วโลกมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการใช้สารซีเอฟซี (CFCs) ใน MDI ไปเป็นสารตัวอื่นแทน จนกระทั่ง ปัจจุบันได้มีการวิจัยและพัฒนา จนค้นพบว่า Hydrofluoralkane (HFA) ทั้งชนิด HFA-134a และ HFA-277 สามารถนำมาใช้แทนสารซีเอฟซี (CFCs) ในยาขยายหลอดลม และยาป้องกันหอบที่เป็นสเตียรอยด์แบบ MDI โดยที่ยานี้ได้รับการรับรองว่าปลอดภัย ประสิทธิภาพดี และปัจจุบันได้เริ่มนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยของเราเรียบร้อยแล้ว
 

Sunday, September 12, 2010

แล้วเราจะช่วยกันรับผิดชอบโอโซนของโลกเราได้อย่างไร (3)


จากที่ได้เกริ่นไว้เมื่อวาน วันนี้เรามาว่ากันต่อถึงวิถีทางที่จะช่วยกันดูแล อนุรักษ์ชั้นบรรยากาศโอโซนของเรา 

วิธีที่สี่ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการเกษตร

ตามที่เคยแจ้งไว้ก่อนหน้านี้่แล้วว่า สารเมทิลโบรไมด์ (Methyl Bromide) เป็นสารรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการกำจัดแมลงศัตรูพืชหลังการเก็บเกี่ยว แมลงศัตรูพืชในโรงเก็บสินค้า งานด้านกักกันพืชเพื่อกำจัดศัตรูพืชที่ติดมากับพืชนำเข้า และยังได้มีการนำมาใช้รมดิน (Soil Fumigation) เพื่อกำจัดไส้เดือนฝอย แมลง เมล็ดวัชพืช และเชื้อโรคพืชบางชนิด ก่อนการเพาะปลูกพืช มีศักยภาพในการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน 0.6 เท่าของสารซีเอฟซี (CFCs)

แล้วจะมีสารใดบ้างที่สามารถนำมาทดแทนสารเมทิลโบรไมด์ตัวนี้ได้ ขอบอกว่ามีเยอะเลยครับ โดยเราจะแบ่งเทคโนโลยีสารทดแทนออกเป็น 2 ประเภท ตามชนิดของพืช อันได้แ่ก่

1. เทคโนโลยีสารทดแทนสารเมทิลโบรไมด์ (Methyl Bromide) ในสินค้าแห้ง (Durable Commodities) เช่น ข้าว แป้ง มันสำปะหลัง และข้าวโพด เป็นต้น

- การใช้ความร้อน (Heat Treatment) มักใช้ในอุณหภูมิระหว่าง 50-70 องศาเซลเซียส จากนั้นก็ทำให้เย็นลงเพื่อเป็นการลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวสินค้าได้

- การใช้ความเย็น (Cold Treatment) 

- การทำให้เย็นจนแข็ง (Freezing)

- การฉายแสง หรือ ฉายรังสี (Irradiation) 

- การใช้สารฟอสฟีน (Phosphine)

- การใช้คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide) หรือไนโตรเจน (Nitrogen) ในการควบคุมระดับก๊าซออกซิเจน (Controlled and Modifies Atmosphere)

- การใช้ฟอสฟีน ร่วมกับคาร์บอนไดออกไซด์ หรือไนโตรเจน

- การใช้สารเคมี เช่น ซัลฟูริลฟลูออไรด์ (Sulfuryl Fluoride) เอทิลฟอร์เมท (Ethyl Formate) เอทิลีน ออกไซด์ (Ethylene Oxide) และคาร์บอนไบซัลไฟด์ (Carbon Bisulfide)

- การใช้ยาฆ่าแมลง (Insecticides) ประเภทสารประกอบออร์กาโนฟอสฟอรัส (Organophosphorous)

- การใช้สารฟีโรโมน (Pheromones)

2. เทคโนโลยีสารทดแทนสารเมทิลโบรไมด์ (Methyl Bromide) ในสินค้าสด (Perishable Commodities) เช่น ผัก ผลไม้ และดอกไม้ เป็นต้น

- การใช้ความเย็น (Cold Treatment) ที่อุณหภูมิ -1 ถึง +2 องศาเซลเซียส

- การใช้ความร้อน (Heat Treatment) โดยให้ความชื้น หรือลมร้อนที่อุณหภูมิ 40-50 องศาเซลเซียส

- การใช้คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide) และไนโตรเจน (Nitrogen) แทนที่บรรยากาศแบบปกติ หรือ แทนที่ออกซิเจน (Controlled Atmosphere)

- การฉายแสง หรือ ฉายรังสี (Irradiation) 

- การใช้สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur Dioxide)

- การจุ่มในสารเคมี (Chemical Dips) เช่น ยาฆ่าแมลง (Pesticide) อย่างเจือจาง

วันนี้อาจจะหนักไปแนววิชาการหน่อยนะครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝ่ายผู้ประกอบทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ชั้นบรรยากาศโอโซนของโลกเรา จะต้องตระหนักอย่างถ่องแท้  และให้ความร่วมมือในการหลีกเลี่ยงการใช้สารเมทิลโบรไมด์ และหันไปใช้สารทดแทนตามที่กล่าวไว้ข้างต้นครับ ช่วยกันคนละเล็กคนละน้อย ไม่ช้าการอนุรักษ์ชั้นบรรยากาศโอโซนของโลกเราก็จะบังเกิดผล

Saturday, September 11, 2010

แล้วเราจะช่วยกันรับผิดชอบโอโซนของโลกเราได้อย่างไร (2)

มาว่ากันต่อ เกี่ยวกับวิธีการต่างๆที่เราทุกคนสามารถช่วยกันรับผิดชอบ ในการอนุรักษ์ชั้นบรรยากาศโอโซนนะครับ

วิธีที่สาม เกี่ยวกับอุปกรณ์ดับเพลิง 

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า สารเฮลอน (Halons) เป็นสารดับเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูง ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่เป็นพิษต่อผู้ใช้ ทั้งยังไม่ทิ้งคราบตกค้างหลังการใช้งาน แต่ว่ามันเป็นสารตัวร้ายที่ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนที่มีประสิทธิภาพสูงมากทีเดียว โดยที่สารเฮลอน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆคือ

1. เฮลอน 1211 (Halon 1211) นิยมใช้ในเครื่องดับเพลิงชนิดเคลื่อนที่ได้ (Portable) มีศักยภาพในการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนมากกว่าสารซีเอฟซี (CFCs) ถึง 3 เท่า

2. เฮลอน 1301 (Halon 1301) นิยมใช้ในระบบดับเพลิงชนิดติดตั้งถาวร (Fixed System) แต่รายนี้หนักกว่าครับ เพราะมันมีศักยภาพในการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน มากกว่าสารซีเอฟซี (CFCs) ถึง 10 เท่าเลยทีเดียว แสบจริงๆ

เมื่อเรารู้ความร้ายกาจของสารเฮลอนแล้ว เราจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างอื่นที่ใช้ทดแทนสารเฮลอนหรือเปล่าหละ คำตอบคือ มีสิครับ (ถามได้ แหะๆ)  โดยเราได้แบ่งเทคโนโลยีสารทดแทนตามชนิดของสารเฮลอนทั้งสองแบบ ตามนี้ครับ


เทคโนโลยีสารทดแทนสารเฮลอน 1211

- ผงเคมีแห้ง (Dry Chemical) สามารถดับเพลิงได้ทั้งระดับ A, B, C ทั้งยังมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับสารดับเพลิงชนิดอื่นๆ เสียอย่างเดียวมันจะเกิดคราบตกค้างหลังการใช้งานเท่านั้นเอง

- คาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซตัวนี้เป็นพิษต่อระบบการหายใจของมนุษย์เรา หากใช้ดับเพลิงในสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัดและอากาศถ่ายเทไม่สะดวกละก็ อาจทำให้ผู้ใช้หมดสติได้ จึงเหมาะสมกับการใช้ดับเพลิงในที่โล่งแจ้งหรืออากาศถ่ายเทได้สะดวก และใช้ดับเพลิงในวัสดุที่เกี่ยวกับไฟฟ้า เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า

- โฟมน้ำ อาจไม่เหมาะกับการดับเพลิงที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าโดยเด็ดขาด เนื่องจากโฟมเป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้าชั้นดี ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

เทคโนโลยีสารทดแทนสารเฮลอน 1301


- สาร FM 200 สารตัวนี้เป็นสารทดแทนที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับสารเฮลอนค่อนข้างมาก แต่จะมีกลิ่นเหม็นหลังการใช้งาน

- เทคโนโลยีละอองน้ำ ระบบละอองน้ำเป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจมาก เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สามารถระงับเปลวเพลิงพร้อมกันได้ถึง 3 ทิศทาง

เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยมาว่ากันต่อภาค 3 นะครับ ยังมีวิธีการอีกหลากหลาย มากมายที่เราสามารถช่วยกันเพื่ออนุรักษ์ชั้นบรรยากาศโอโซนของเราได้ โปรดอดใจรอนะครับ

Friday, September 10, 2010

แล้วเราจะช่วยกันรับผิดชอบโอโซนของโลกเราได้อย่างไร

ผมเชื่อว่าถึงตอนนี้หลายๆคน ก็อยากมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ชั้นบรรยากาศโอโซน แต่ก็อาจยังนึกไม่ออกว่าตัวเองต้องทำอย่างไรบ้าง พอดีเลยครับ ผมขอเสนอแนวทางปฏิบัติง่ายๆ ที่หลายๆคนอาจนึกไม่ถึง 

วิธีแรก เกี่ยวกับระบบปรับอากาศรถยนต์


วิถีชีวิตคนเมืองส่วนใหญ่ผูกพันอยู่กับรถยนต์ ซึ่งเป็นพาหนะหลักในการเดินทาง และการคมนาคมขนส่ง ผลเสียโดยตรงที่ตามมาอันเกิดการใช้รถยนต์เป็นจำนวนมาก คงหนีไม่พ้นเรื่องการก่อมลภาวะ ไอเสียจากรถยนต์ก่อผลด้านลบต่อสภาพแวดล้อม ต่อโลกอย่างมหันต์ แล้วเราจะมีวิธีการรักษาชั้นบรรยากาศโอโซนที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์ได้อย่างไร จริงๆแล้วมันมีหลากหลายวิธีครับ อันได้แก่


- เลือกใช้น้ำยาแอร์ให้ถูกประเภท จะช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบปรับอากาศรถยนต์ของคุณให้ยาวนานยิ่งขึ้น

- สำหรับรถยนต์ที่ผลิตก่อนปี พ.ศ. 2538 ให้ใช้น้ำยาแอร์ R-12 (CFC-12)


- สำหรับรถยนต์ที่ผลิตตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 เป็นต้นไป ให้ใช้น้ำยาแอร์ R-134a (HFC-134a) 


- หมั่นตรวจเช็คระบบปรับอากาศรถยนต์ของคุณเป็นประจำทุกๆ 6 เดือน เพื่อเป็นการป้องกันการรั่วไหลของน้ำยาแอร์จากระบบ


- เลือกใช้บริการร้าน/ศูนย์บริการที่ได้มาตรฐาน


- เลือกรับบริการกับร้าน/ศูนย์บริการที่มีเครื่องกักเก็บและฟื้นฟูสภาพน้ำยาแอร์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการรั่วไหลของสารซีเอฟซี (CFCs) สู่ชั้นบรรยากาศ




วิธีที่สอง เกี่ยวกับตู้เย็น/ตู้แช่สินค้า

คงปฎิเสธไม่ได้ว่า แทบทุกบ้าน (ที่มีไฟฟ้าใช้ แหะๆ) จะต้องมีตู้เย็นไว้ประจำบ้าน รวมทั้งเราจะพบเห็นตู้แช่สินค้ารูปแบบต่างๆ มากมาย ตามร้านขายของชำ supermarket และร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ตอนนี้กำลังผุดไปทั่วเมือง แล้วเราจะมีวิธีเลือกสินค้ากลุ่มดังกล่าวอย่างไร ถึงจะเป็นการช่วยอนุรักษ์ชั้นบรรยากาศโอโซนของโลกเราได้



- เลือกใช้ตู้เย็น/ตู้แช่สินค้าที่ไม่ใช้สารซีเอฟซี (CFCs) เป็นสารทำความเย็น โดยเราสามารถสังเกตได้ง่ายๆจากสัญลักษณ์ CFCs Free หรือ Ozone Friendly ที่ผลิตภัณฑ์ หรือสอบถามจากพนักงานขายโดยตรง ก่อนจะสั่งซื้อ


- หรือถ้าหากสั่งสินค้าดังกล่าวมาแล้ว และพบว่าใช้สารทำความเย็น R-12 (CFC-12) อยู่ก่อนแล้ว ให้หมั่นตรวจเช็คอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการรั่วไหลของสารซีเอฟซี (CFCs) สู่ชั้นบรรยากาศโอโซน







Thursday, September 9, 2010

The Ozone Hole (รูรั่วของชั้นโอโซนบริเวณขั้วโลก)

ปัญหาใหญ่ในปัจจุบันอีกอย่างหนึ่ง ที่สาหัสไม่แพ้กันก็คือการเกิดรูรั่วของชั้นโอโซน (ozone hole) ขนาดใหญ่ในบรรยากาศชั้นสเตรโตสเฟียร์แถบขั้วโลกใต้

ซึ่งรูรั่วที่พูดถึงนี้เป็นบริเวณที่ปราศจากชั้นโอโซนหรือมีชั้นโอโซนอยู่เบาบางมาก ผลกระทบที่อาจเกิดตามมาต่อสมดุลของสภาพแวดล้อมบนผิวโลกบริเวณใกล้เคียง โดยเฉพาะต่อสุขภาพของมนุษย์ ทั้งนี้เนื่องจากชั้นของโอโซนดังกล่าว นับเป็นตัวดูดกลืนรังสี UV พลังงานสูงที่มาจากดวงอาทิตย์ได้ดี ดังนั้นการที่มันลดจำนวนลงดังกล่าว จึงนับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อรังสี UV มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้เขตขั้วโลกใต้ (ในเขตทวีปออสเตรเลีย) ซึ่งอาจมีผลทำให้อัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งที่ผิวหนัง

การลดลงของชั้นโอโซนถือได้ว่าเป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์เราโดยตรง เพราะสารเคมีสำคัญในการทำลายก๊าซโอโซนที่ค้นพบ คือสารประกอบในกลุ่มคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbons: CFCs) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สำหรับเป็นตัวทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศ หรือ ตู้เย็น หรือ ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่เป็นสเปรย์รูปแบบต่าง ๆ เช่น สเปรย์พ่นสี หรือ สเปรย์ฉีดผม เป็นต้น ในที่นี้ เมื่อโมเลกุลของสาร CFC ถูกปลดปล่อยออกมาสู่อากาศ มันจะสามารถลอยสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงบรรยากาศชั้นสเตรโตสเฟียร์ ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของก๊าซโอโซนจำนวนมาก ในระดับความสูงนี้ โมเลกุลของสาร CFC จะถูกทำให้แตกตัวด้วยรังสีจากดวงอาทิตย์ ได้อะตอมของก๊าซคลอรีน (Chlorine: Cl) ออกมาเป็นส่วนหนึ่งผลิตภัณฑ์ ซึ่งอะตอมของคลอรีนที่เกิดมาจากปฏิกิริยานี้เอง ที่จะไปรวมตัวกับโมเลกุลของก๊าซโอโซน (O3) ทำให้ได้เป็นสารประกอบคลอรีนมอนอกไซด์(ClO) และก๊าซออกซิเจน (O2) ออกมา เป็นผลทำให้จำนวนโมเลกุลของก๊าซโอโซนในอากาศลดลงไป อีกทั้งอะตอม ของ คลอรีนสามารถถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีก จากการทำปฏิกิริยาของก๊าซคลอรีนมอนอกไซด์กับอะตอมของออกซิเจน(O) ในชั้นนี้ ได้เป็นอะตอมของคลอรีนและโมเลกุลของออกซิเจน (O2)
ตามสมการเคมี

ขั้นที่ 1 : Cl + O3 → ClO + O2
ขั้นที่ 2 : ClO+ O → Cl + O2

ซึ่งอะตอมของคลอรีนอิสระที่เกิดขึ้นในขั้นที่ 2 ดังกล่าว สามารถกลับเข้าสู่กระบวนการทำลายโมเลกุลของโอโซนตามปฏิกิริยาในขั้นที่ 1 ได้อีก กลายเป็นวัฏจักรที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เชื่อกันว่า โดยเฉลี่ยคลอรีนหนึ่งอะตอมสามารถที่จะทำลายโมเลกุลของโอโซนได้มากกว่าหนึ่งแสนโมเลกุล ก่อนที่ตัวมันเองจะถูกกำจัดออกไปจากวัฏจักรดังกล่าว

นอกจากนั้นการที่สาร CFC สามารถมีชีวิตอยู่ในอากาศได้ยาวนานมากกว่า 50 ถึง 100 ปี เป็นการบ่งบอกให้เห็นถึงอันตรายของสารดังกล่าวต่อการลดลงของชั้นโอโซนในระยะ ยาว และยังช่วยตอกย้ำถึงความจำเป็นในการที่เราต้องพยายามลดการใช้สารนี้ลงในทาง อุตสาหกรรม เพื่อรักษาชั้นโอโซนของโลกไว้ไม่ให้ถูกทำลายไปมากยิ่งขึ้น

ปรากฏการณ์เรือนกระจก


หากจะพูดถึงเรื่องสุดฮิตที่ทุกคนเฝ้าติดตามความเป็นไป รวมทั้งยังวิตกกังวลกับสภาวะดังกล่าวอย่างยิ่งยวดแล้วละก็ คงไม่พ้นสภาวะเรือนกระจก หรือบางคนอาจจะเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือน (Greenhouse Effect)


ชื่อนี้มีที่มาคือ เมื่อประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว (ไม่รู้ตอนนั้นใครเกิดแล้วมั่ง เหอๆ) นักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง ที่มีชื่อว่า อาร์เรเนียส ได้เป็นผู้ริเริ่มใช้คำว่า สภาวะเรือนกระจก และยังได้ทำนายทายทักไว้อีกว่า การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลจะเพิ่มปริมาณคาร์บอนไดออกไซค์ในบรรยากาศ และนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิบรรยากาศโลก ปัจจุบัน ความเชื่อเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกยังไม่เป็นเอกฉันท์ มีทั้งผลการศึกษาที่พบว่า อุณหภูมิบรรยากาศโลกเพิ่มขึ้นระหว่าง 0.5 องศาเซลเซียส นับตั้งแต่ พ.ศ. 2143 และผลการศึกษาอื่นๆที่พบว่า อุณหภูมิบรรยากาศโลกเพิ่มขึ้นระหว่าง 1.3 องศาเซลเซียสกับ 0.6 องศาเซลเซียส แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า อุณหภูมิบรรยากาศที่เพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากเป็นวัฏจักรของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศตามธรรมชาติหรือเกิดจากการกระทำของมนุษย์ เรื่องนี้ยังต้องรอการพิสูจน์กันอีกต่อไปครับ แต่ที่แน่ๆคือทุกวันสภาพอากาศมันแปลกๆพิกล รู้สึกเหมือนกันกับผมหรือเปล่าครับ


ทีนี้เรามาดูความหมายของคำว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก  กันบ้างนะครับ จริงๆมันก็คือกระบวนการที่เกิดจากการแผ่รังสีอินฟราเรดโดยบรรยากาศแล้วทำให้พื้นผิวโลกร้อนขึ้น ชื่อดังกล่าวมาจากการอุปมาที่คลาดเคลื่อนว่าเป็นการเปรียบเทียบอากาศที่อุ่นกว่าภายในเรือนกระจกกับอากาศที่เย็นกว่าภายนอก (ซึ่งความจริงแล้วในอวกาศไม่มีอากาศ) โจเซฟ ฟูริเออร์เป็นผู้ค้นพบปรากฏการณ์เรือนกระจกเมื่อ พ.ศ. 2367 และสวานเต อาร์เรเนียส (Svante Arrhenius) เป็นผู้ทดสอบหาปริมาณความร้อนเมื่อ พ.ศ. 2439 นอกจากโลกแล้ว ดาวอังคาร และดาวศุกร์ ก็มีปรากฏการณ์โลกร้อนเช่นเดียวกัน อืม ชักจะไปกันใหญ่แฮะ


สภาวะเรือนกระจกที่ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิบรรยากาศโลกอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของชั้นก๊าซบางๆ ในบรรยากาศชั้นบนของโลก ที่เรียกว่าก๊าซเรือนกระจก ประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์เป็นส่วนสำคัญ ชั้นก๊าซบางๆนี้มีคุณสมบัติโปร่งใส และยอมให้รังสีจากดวงอาทิตย์ส่วนใหญ่ทะลุผ่านบรรยากาศ เมื่อรังสีจากดวงอาทิตย์กระทบกับผิวโลก จะเปลี่ยนเป็นรังสีความร้อน ส่งผ่านกลับออกไปสู่บรรยากาศ แต่ในครั้งนี้ก๊าซชั้นบางๆจะไม่ยอมปล่อยให้รังสีคลื่นยาวทะลุผ่านไปได้ทั้งหมด โดยดูดรังสีความร้อนนี้ไว้บางส่วน และบางส่วนสะท้อนกลับมายังพื้นโลก ในอดีต กระบวนการของก๊าซเรือนกระจกทำให้บรรยากาศโลกมีความอบอุ่นที่พอเหมาะสำหรับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในปัจจุบันพบว่า กระบวนการรับและส่งกลับรังสีความร้อนในชั้นบรรยากาศดังกล่าวกำลังเปลี่ยนไป ซึ่งเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลิตและใช้พลังงานโดยการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซค์ออกสู่บรรยากาศเพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อปริมาณก๊าซเรือนกระจก ซึ่งก็มีผลให้ปริมาณความร้อนถูกสะท้อนกลับเข้ามาที่ผิวโลกมากขึ้นทุกๆปี ทำให้อุณหภูมิบรรยากาศโลกโดยเฉลี่ยมีค่าสูงกว่าค่าที่เหมาะสม นอกจากคาร์บอนไดออกไซค์แล้วยังมีก๊าซอื่นๆที่เป็นก๊าซเรือนกระจกด้วย ได้แก่ ไนทรัสออกไซค์ มีเทน และคลอโรฟลูออโรคาร์บอน เป็นต้น


ก๊าซเรือนกระจก มาจากไหน ?

นั่นสิ แล้วมันมาจากไหน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ถือได้ว่าเป็นก๊าซตัวแสบชนิดที่ทำให้เกิดพลังงานความร้อนสะสมในบรรยากาศของโลกมากที่สุดในบรรดาก๊าซเรือนกระจกชนิดอื่น ๆ เป็นตัวการสำคัญที่สุดของปรากฎการณ์เรือนกระจกที่มนุษย์เป็นผู้กระทำ ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงถ่านหินเพื่อผลิตไฟฟ้า การตัดไม้ทำลายป่า ก๊าซมีเทน (CH4) เป็นก๊าซที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดจากของเสียจากสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย การทำนาที่ลุ่มน้ำท่วมขัง การเผาไหม้เชื้อเพลิงถ่านหินก๊าซธรรมชาติ และการทำเหมืองถ่านหิน ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N20) เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และจากการใช้ปุ๋ยไนเตรดในไร่นา การขยายพื้นที่เพาะปลูก การเผาไหม้ เผาหญ้า มูลสัตว์ที่ย่อยสลาย และเชื้อเพลิงถ่านหินจากอุตสาหกรรมที่ใช้กรดไนตริกในขบวนการผลิต เช่น อุตสาหกรรมผลิตเส้นใยไนลอน อุตสาหกรรมเคมี หรืออุตสาหกรรมพลาสติกบางชนิด คลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbon- CFCs) เป็นก๊าซที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ในการผลิตทางอุตสาหกรรม เช่น ใช้ในเครื่องทำความเย็นชนิดต่าง ๆ เป็นก๊าซขับดันในกระป๋องสเปรย์ และเป็นสารผสมทำให้เกิดฟองในการผลิตโฟม เป็นต้น ซีเอฟซี มีผลกระทบรุนแรงต่อบรรยากาศ ทั้งในด้านทำให้โลกร้อนขึ้น ทำให้เกิดปรากฎการณ์เรือนกระจก และทำลายบรรยากาศโลกจนเกิดรูรั่วในชั้นโอโซน 

เห็นไหมครับว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ร้ายแรงแค่ไหน ซ้ำร้ายยังมีผลเสียหายต่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้อย่างมหาศาล ถึงตอนนี้พวกเราทุกคนคงต้องช่วยๆกันคนละไม้คนละมือ คนละนิดคนละหน่อย อย่างๆน้อย หนึ่งแรงหนึ่งพลังของเราก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกของเรา น่าอยู่มากขึ้น และอยู่กับเราไปตราบนานแสนนาน

Wednesday, September 8, 2010

วันที่ 16 กันยายน วันโอโซนสากล

และแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงวันสำคัญของมวลมนุษยชาติอีกวันหนึ่ง นั่นคือ วันโอโซนสากล  ซึ่งถือว่าวันที่ 16 กันยายนของทุกปี เป็นวันสำคัญของโลก ที่ชาวโลกเราทุกคนควรจะมีส่วนร่วมในการดูแล และรักษาโลกของเราให้เป็นปกติตลอดไป

ตามที่ได้บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า บรรยากาศชั้นโอโซน เป็นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกอยู่ในชั้นสตราโตสเฟียร์ ซึ่งสูงจากพื้นดิน 12-50 กิโลเมตร ชั้นบรรยากาศนี้ประกอบด้วยก๊าซโอโซน ซึ่งเกิดโดยธรรมชาติด้วยปฏิกิริยาระหว่างก๊าชออกซิเจนกับแสงอาทิตย์ และที่สำคัญบรรยากาศชั้นนี้สามารถป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตชนิดบีจากดวงอาทิตย์ ซึ่งอันตรายต่อมนุษย์และระบบนิเวศวิทยาของโลก รวมทั้งทำให้มนุษย์มีโอกาสเป็นโรคต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น เช่น โรคตาต้อกระจก มะเร็งผิวหนัง และอาจจะมีผลกระทบไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต รวมทั้งผลิตผลทางการเกษตรที่จะลดลง 


เราทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่าบรรยากาศชั้นโอโซนนี้ กำลังถูกทำลายอย่างรุนแรงด้วยสารเคมีบางชนิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการอุปโภคบริโภคของมนุษย์ เช่น สารซีเอฟซี ฮาลอน เมททิล คลอโรฟอร์ม เมทิลโบรไมด์ เป็นต้น
  
 


กิจกรรม แน่หละว่าวันโอโซนสากลนี้ จะเกิดประโยชน์กับทุกๆคน ถ้าพวกเราต่างมีส่วนร่วมเพื่อการได้เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของวันดังกล่าว โดยการให้ความร่วมมือประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้ลด ละเลิกใช้สารที่ทำลายชั้นโอโซน

ยังไงๆ วันโอโซนสากล นี้ก็มีเพียงแค่ปีละหนึ่งวันเท่านั้นครับ จึงอยากเชิญชวนให้เราทุกคนให้ความสำคัญ พร้อมกับดำเนินกิจกรรมที่เอื้อประโยชน์ต่อการรักษาชั้นบรรยากาศโอโซน ทั้งนี้ก็เพื่อพวกเราชาวโลกทุกคนนั่นเอง จริงไหมครับ